เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาทางค่าย Mini Cooper ได้ประกาศร่วมลงทุน เพื่อก่อตั้ง Spotlight Automotive Limited เป็นโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ทางค่ายได้ประกาศว่าจะผลิต Mini Cooper ไฟฟ้ารุ่นใหม่ขึ้น ซึ่งบริษัทได้ร่วมทุนระหว่าง BMWและGWM โดยจะผลิตรถยนต์ทั้งหมดด้วยกัน 5 รุ่น โดยมีช่วงราคาระหว่าง 189,800 – 266,800 หยวน หรือประมาณราว ๆ (9.5 แสน – 1.3 ล้านบาท)
Mini Cooper ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ จะมีความยาวอยู่ที่ 3,858 มิลลิเมตร กว้าง 1,756 มิลลิเมตร สูง 1,458 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,526 มิลลิเมตร ซึ่งยาวกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 31 มิลลิเมตร กันเลยทีเดียว
รถใหม่นี้จะมีให้เลือกด้วยกันถึง 5 รุ่น ได้แก่ Cooper E Big Player/Classic, Cooper SE Artist/Racer และ Cooper SE 1/65 Limited Edition มีสีตัวถัง 6 สี ได้แก่ Storm Grey, Polar Bear White, British Green, Benedict Yellow, Magic Blue และ Chili Red โดยมีเสาเอเป็นสีดำ กระจกมองข้าง และหลังคาแบบซันรูฟ
Mini Cooper E Classic
Mini เจเนอเรชั่นที่ 5 จะเป็นรุ่นคลาสสิกแบบ 3 ประตู มินิคูเปอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังคงมีการออกแบบดีไซส์คลาสสิกโดยรวมเน้นรูปลักษณ์มีขนาดกะทัดรัดตามแบบฉบับของรถยนต์ 3 ประตู 4 ที่นั่ง Mini Cooper E Classic จะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้ารุ่นใหม่ ใช้ขอบล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว และรุ่น Artist กับรุ่น Racer ใช้ขอบล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว
Mini Cooper SE Racer Edition
นอกจากนี้ ในรุ่น Mini Cooper SE Racing Edition จะใช้ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตของ JCW (John Cooper Works) ขอบตัวถังเป็นสีดำจับคู่กับหลังคาสีแดง กระจกมองข้างสีแดง และโลโก้รถรวมไปถึงอุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในรุ่น Artist และ Racer จะเป็นกระจกหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา
ระบบส่งกำลังในรุ่น Mini Cooper E รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 135 กิโลวัตต์ หรือ (181 แรงม้า) /290 นิวตันเมตร และชุดแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไตรภาคขนาด 40.7 kWh ตามมาตราฐานของ CLTC สามารถวิ่งได้ระยะทางที่ 456 กิโลเมตร และ 0 – 100 กม./ชม. สามารถเร่งความเร็วสูงสุดที่ 7.3 วินาที
Classic interior
Racer interior
ในรุ่น Mini Copper SE รุ่นท็อป ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 กิโลวัตต์ หรือ (215 แรงม้า)/330 นิวตันเมตร และชุดแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไตรภาคขนาด 54.2 kWh ตามมาตราฐานของ CLTC สามารถวิ่งได้ระยะทางที่ 452 กิโลเมตร และอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. สามารถเร่งความเร็วสูงสุดที่ 6.7 วินาที ภายใต้การชาร์จเร็ว DC เวลาในการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่ 10% – 80% ใช้เวลา 30 นาที
ภายในของรุ่น Classic Edition มาพร้อมกับหน้าจอควบคุมส่วนกลางแบบวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 240 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนโดยระบบ Mini Operating System 9 ซึ่งสามารถรองรับระบบสั่งงานด้วยเสียงส่วนบุคคล การนำทาง เกม และสื่อสตรีมมิ่ง และฟังก์ชันอื่นๆ ได้แก่ ไฟส่องสว่างโดยรอบ, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบดูอัลโซน, การชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย, ระบบทำความร้อนที่พวงมาลัย, ระบบช่วยจอดรถ และระบบควบคุมความเร็วแบบคงที่ อีกด้วย
ในรุ่น Artist Edition เป็นเบาะนั่งปรับไฟฟ้า ไฟหน้าเป็นแบบ LED มีกล้องในรถยนต์ เบาะคู่หน้าเป็นแบบอุ่นไฟฟ้า (พร้อมฟังก์ชันนวดสำหรับเบาะคนขับ) กระจกมองข้างแบบปรับไฟฟ้าและอุ่นได้ และการเข้ารถแบบไม่ต้องใช้กุญแจ ระบบฟังก์ชันการทำงานของรุ่น Racer Edition มีความคล้ายกับรุ่น Artist Edition แต่เบาะนั่งทำจากหนัง Vescin มีสีแดงและสีดำ มาให้เลือก
นอกจากนี้ยังมีปุ่มควบคุมด้านล่างหน้าจอควบคุมส่วนกลาง เพื่อสลับโหมดระหว่างโหมดหลัก (Core), โหมดโกคาร์ท (Go-Kart), โหมดประหยัดพลังงาน (สีเขียว), โหมดสมดุล (Balance), โหมดสบาย (Timeless), โหมดกำหนดเองอย่างอิสระ และโหมดขับขี่แบบอัจฉริยะ ในแต่ละโหมดจะมี UI (User Interface) เฉพาะเจาะจงเป็นการประสานงานระหว่างผู้ใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่
ที่มา: carnewschina.com