Haval H9 เจเนอเรชันที่ 2 ของทางค่าย Great Wall Motor ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าแบบ (Pre-Order) ได้แล้ว ที่ประเทศจีน โดยเจ้ารถยนต์คันนี้เป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ เอาใจสายลุยมาในสไตล์รถออฟโรด 5-7 ที่นั่ง โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ย่อยด้วยกัน ราคาจะอยู่ระหว่าง 205,900 – 235,900 หยวน หรือประมาณราวๆ 982,581 – 1,127,017 บาท
รุ่นและราคาของ Haval H9
รุ่น Tanjing ราคา 205,900 หยวน หรือราวๆ (982,041 บาท)
รุ่น Tajing ราคา 221,900 หยวน หรือราวๆ (1,058,353 บาท)
รุ่น Jijing ราคา 235,900 หยวน หรือราวๆ (1,127,121 บาท)
ลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าสามารถวางเงินมัดจำ 2,000 หยวนหรือราวๆ 9,539 บาท และจะได้รับส่วนลดสูงสุด 15,000 หยวน หรือราวๆ 71,671 บาท จากยอดราคาซื้อ และหากเป็นลูกค้าปัจจุบันของ Haval H9 จะได้รับเงินอุดหนุนจากทางค่ายเพิ่มอีก 20,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินราวๆ (95,420 บาท) อีกด้วย นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูดลูกค้าเป็นอย่างมาก
First-generation Haval H9
Haval H9 เจเนอเรชันที่ 2 จะวางตำแหน่งสินค้าเป็น SUV ขนาดกลางค่อนขนาดใหญ่มาในสไตล์ฮาร์ดคอร์แบบออฟโรด นอกจากนี้ จะมีออฟชันแบบ 2 แบบให้เลือกนั่นก็คือ รุ่นที่มาพร้อมยางอะไหล่ติดตั้งภายนอกมาให้ ทำให้มิติตัวรถรวมที่ความยาว ความกว้าง และความสูงรวมยางอะไหล่ภายนอก คือ 5070/1976/1930 มิลลิเมตรและระยะฐานล้อคือ 2850 มิลลิเมตร และในรุ่นที่ไม่มียางอะไหล่แต่จะถูกแทนที่ด้วยกล่องเก็บสัมภาระแทนติดตั้งภายนอกรถที่ด้านหลัง ทำให้มิติตัวรถรวมที่ความยาว ความกว้าง และความสูง 4950 (5000)/1960 (1976)/1930 มิลลิเมตร โดยมีระยะฐานล้อเท่ากัน ระยะห่างจากพื้นสูงสุดที่ 224 มิลลิเมตร สามารถลุยน้ำสูงสุดได้ถึง 800 มิลลิเมตร
Second-generation Haval H9
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ Haval H9 เจเนอเรชันที่ 2 ถูกออกแบบใหม่ทั้งคัน โดยใช้รูปทรงดีไซน์คล้ายกล่องสี่เหลี่ยมยอดนิยมในแนวสายลุยที่ชื่นชอบการออฟโรด
ด้านหน้าออกแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมเช่นกันโดยมาพร้อมไฟหน้าทรงกลมให้ความรู้สึกย้อนยุค ควบคู่กับไฟท้ายทรงกลมที่จัดเรียงในแนวตั้ง ประตูท้ายสามารถเปิดไปทางด้านข้าง ติดตั้งยางอะไหล่ภายนอกมาให้ มีแร็คหลังคา มือจับประตูแบบดั้งเดิม และมาพร้อมกระจกซันรูฟแบบพาโนรามา ติดตั้งมาให้ด้วย
Haval H9 เจเนอเรชันที่ 2 มาพร้อมระบบส่งกำลังให้เลือก 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0T จับคู่กับเกียร์แบบ 8AT และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T จับคู่กับเกียร์แบบ 9AT สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะให้กำลังสูงสุดที่ 221 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 384 นิวตันเมตร ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมีกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 480 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนแบบ 4WD อัจฉริยะ Torque-On-Demand ที่ยึดเกาะถนนได้ดีเหมาะสำหรับการใช้งานที่สมบุกสมบัน ในเส้นทางวิบาก ถนนแบบออฟโรด (Off-Road) หรือขึ้นเขาสูงชันได้อย่างดีเยี่ยม ก็ติดตั้งมาให้เป็นระบบมาตรฐานที่มีในทุกรุ่นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังรองรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 7 โหมดด้วยกัน ได้แก่ โหมดมาตรฐาน , โหมดสปอร์ต, โหมดแบบประหยัดพลังงาน, โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบอัตราทดเกียร์ต่ำ, โหมดสำหรับลุยทราย, โหมดลุยโคลน และโหมดสำหรับทางหิมะ พร้อมด้วยฟังก์ชันเสริมต่างๆ เช่น การเลี้ยวแบบแม่นยำ และการขับเคลื่อนแบบออฟโรดที่ความเร็วต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสามารถในการลากจูงอย่างเป็นทางการที่สามารถวัดได้คือ 2.5 ตันหรือ 2,268 กิโลกรัม
มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระถึง 45 ตำแหน่งทั่วทั้งรถ
ความจุของสัมภาระท้ายรถในรุ่นเริ่มต้น ในรุ่น 5 ที่นั่งคือ 791 ลิตร ซึ่งจุกระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้วได้หนึ่งใบ กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้วสองใบ และกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วอีกสองใบ สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ถึง 1814 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่สองลง นอกจากนี้ ยังมีกระจกที่บังลมหน้าและประตูหน้ายังใช้กระจกกันเสียงแบบลามิเนตความหนาแบบ 2 ชั้น อีกด้วยและตัวถังมาพร้อมการออกแบบด้วยแผงลามิเนตจำนวน 34 แผ่นช่วยสำหรับการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งฟังก์ชั่นจัดเต็มทั้งหมดเป็นไปตามที่ทางค่ายระบุไว้
ภายในห้องโดยสารมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 3 ก้าน หน้าจอควบคุมส่วนกลางแบบลอยขนาด 14.6 นิ้ว มีช่องปรับอากาศด้านล่างหน้าที่จอควบคุมส่วนกลาง แผงหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยม ชุดฟังก์ชันคันเกียร์ขนาดใหญ่ และปุ่มฟังก์ชันต่างๆ อีกมากมายภายในห้องโดยสาร คอนโซลกลางจะมีชิพประมวลผลรถยนต์แบบ Qualcomm Snapdragon 8155 รับประกันการใช้งานอินเทอร์เฟซที่ราบรื่นและตอบสนองสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และยังมีปุ่มกำหนดค่าอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วยได้แก่ ปุ่ม one-button remote start การขับขี่จากจุดเริ่มต้นถึงระยะไกลด้วยปุ่มเดียว, การตรวจสอบระยะทางด้วยสมาร์ทโฟน และปุ่ม Firmware Over-The-Air ( FOTA) การอัพเกรดเฟิร์มแวร์ในรถยนต์สมาร์ทคาร์ผ่านระบบออนไลน์ และ Haval H9 เจเนอเรชั่นที่ 2 ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงระดับ 2 -13 ติดตั้งมาให้อีกด้วย
ที่มา: carnewschina.com