Seal 06 GT ของทางค่าย BYD ได้เข้าสู่ตลาดในประเทศจีนอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเจ้ารถคันนี้อยู่ภายใต้ซีรีส์ Ocean โดยเป็นรถยนต์แฮทช์แบ็ก มาในขุมพลังไฟฟ้าล้วน100% มีจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่น ในราคาระหว่าง 136,800 – 186,800 หยวน หรือประมาณราวๆ (6.4 – 8.7 แสนบาท) โดยมีให้เลือกทั้งระบบแบบ RWD และ AWD ระยะในการขับเคลื่อนเมื่อชาร์จไฟฟ้าเต็มสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 505 , 550 และ 605 กิโลเมตร มาตรฐาน CLTC
BYD Seal 06 GT สร้างขึ้นบน e-Platform 3.0 Evo ของทางค่าย โดยมีมิติตัวรถความยาว กว้าง และสูง 4630/1880/1490 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2820 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,850 กิโลกรัม, 1940 กิโลกรัม หรือ 2060 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและการตกแต่งภายนอก รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุดอยู่ที่ 5.6 เมตร จากด้านข้าง การออกแบบหลังคาเป็นแบบท้ายตัดยอดนิยมและที่จับประตูเป็นแบบซ่อน ในรุ่น RWD สวมยางขนาด 225/50 R18 เป็นอุปกรณ์พื้นฐาน และในรุ่น AWD สวมยางขนาด 235/45 R19 และคาลิปเปอร์เบรกเป็นสีแดง
การออกแบบกระจังหน้าเป็นแบบปิดวางตำแหน่งให้ต่ำลง ผสมผสานกับกลุ่มไฟหน้าแบบแคบและยาว และส่วนด้านล่างจับคู่กับกระจังหน้าทรงรังผึ้งที่สามารถระบายความร้อนแบบแอคทีฟได้เป็นอย่างดี
การออกแบบด้านหลังให้อารมณ์ความรู้สึกแบบซ้อนกันหลายชั้นได้อย่างลงตัว ด้วยไฟท้ายที่มีรูปทรงเป็นคลื่น สะท้อนถึงรุ่นในซีรีย์ Ocean ของทางค่ายและมาพร้อมกับโลโก้ BYD แบบใหม่ที่สามารถส่องสว่างได้ทำให้ดูสวยโดดเด่นสะดุดตา
สามารถเลือกสีภายนอกได้ถึง 4 สี ด้วยกันได้แก่ สีดำ สีเทา สีเขียว และสีชมพู
สีชมพูเป็นสีพิเศษลูกค้าที่สนใจต้องเพิ่มเงิน 2,000 หยวน หรือประมาณ (9,397 บาท)
ในแง่ของระบบความปลอดภัย BYD Seal 06 GT มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ DiPilot 5 ของ BYD ที่ตอบสนองผ่านระบบเรดาร์อัลตราโซนิก 6 – 12 ตัว เรดาร์คลื่นห้ามิลลิเมตร กล้องพาโนรามาสี่ตัว และกล้องขับขี่อัจฉริยะหนึ่งตัว ขึ้นอยู่กับการตกแต่งของลูกค้าที่สนใจ มีระบบช่วยเหลือการขับขี่ 16 รูปแบบ เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้า การตรวจสอบจุดบอด ระบบเตือนระยะห่างด้านข้าง และระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมาย
ตัวรถยังมีระบบให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อนล้อหลัง RWD และระบบระบบขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ AWD ให้ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กม./ชม. รองรับโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ ระบบ Eco, Sport, Normal และโหมดหิมะได้อีกด้วย แต่มีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบ AWD เท่านั้นที่มาพร้อมกับระบบ iTAC (ระบบควบคุมการปรับแรงบิดอัจฉริยะ) ของทางค่าย BYD ติดตั้งมาให้
สำหรับรุ่นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง RWD
มอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวรด้านหลังสองตัวมีให้เลือก 160 kW หรือ (215 แรงม้า) แรงบิด 310 นิวตันเมตร และแบบ 165 kW หรือ (221 แรงม้า) แรงบิด 330 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม.ทำได้ในเวลา 7.5 วินาที
มาพร้อมตัวเลือกชุดแบตเตอรี่ BYD Blade (ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต) 2 ตัวเลือกด้วยกันคือ 59.52 kWh และ 72.96 kWh ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 505 – 605 กิโลเมตร ตามมาตราฐานของ CLTC
สำหรับรุ่นมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD
มอเตอร์อะซิงโครนัส AC ด้านหน้า 110 kW (146 แรงม้า) แรงบิด 200 นิวตันเมตร
มอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวรด้านหลัง 200 kW (268 แรงม้า) แรงบิด 310 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม.ทำได้ในเวลา 4.9 วินาที
มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ BYD Blade ขนาดความจุที่ 72.96 kWh ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางกว่า 550 กิโลเมตร ตามมาตราฐานของ CLTC
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งระดับไฮเอนด์อีกด้วย พร้อมกับแพลตฟอร์มไฟฟ้าแรงสูงซิลิคอนคาร์ไบด์ 800V ซึ่งให้เวลาการชาร์จที่รวดเร็วเพียง 20 นาที จากการชาร์จ 30% ถึง 80%
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมขับเคลื่อนแบบอัจฉริยะ DiLink 100 ของ BYD ซึ่งมีหน้าจอควบคุมส่วนกลางขนาด 12.8 นิ้ว (เฉพาะในรุ่นเริ่มต้น) หรือหน้าจอควบคุมส่วนกลางแบบหมุนได้ขนาด 15.6 นิ้ว แผงหน้าปัด LCD แบบเต็มขนาด 10.25 นิ้ว มาพร้อม W-HUD ขนาด 12 นิ้ว และ ลำโพง 8 – 12 ตำแหน่ง
ฟังก์ชั่นการทำงานเพิ่มได้แก่ ซันรูฟแบบพาโนรามาขนาด 1.57 ตารางเมตร, การอัปเดต OTA, ไฟส่องสว่างโดยรอบ, ประตูท้ายไฟฟ้าอัจฉริยะ, การชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 50W, ระบบการควบคุมด้วยเสียง และการปรับไฟฟ้าของเบาะนั่งผู้โดยสาร เป็นต้น
ที่มา : carnewschina.com