เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีข่าวและภาพ Spy Shot ของรถยนต์ SUV รุ่น Fang Cheng Bao (FCB) Bao 5 รุ่นใหม่ของค่าย BYD ออกมาให้เห็นโฉม พอให้ได้ตื่นเต้นสำหรับสายลุย ซึ่งเป็นภาพจากบล็อกเกอร์ชาวจีนที่ได้แชร์กันในโซเชียลมีเดีย รูปลักษณ์โดยรวมของตัวรถไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือฝากระโปรงรถที่โดดเด่นและแร็คหลังคาที่ติดตั้งมาให้สำหรับแบกสัมภาระ และคาดว่าที่ขอบด้านล่างของกระจกมองข้างอาจถูกฝังด้วยฮาร์ดแวร์ตรวจจับการทำงานอื่นๆ ติดตั้งมาให้อีกด้วย โดย FCB Bao 5 รุ่นใหม่นี้อาจติดตั้งระบบ Huawei ADS 3.0 (Advanced Driving System) ซึ่งคล้ายกับระบบที่ติดตั้งใน FCB Bao 8 ก็เป็นได้
ทาง BYD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าแบรนด์ FCB จะร่วมมือในการพัฒนากับแบรนด์การขับขี่อัจฉริยะ Qiankun ของทาง Huawei และรถยนต์รุ่นแรกที่จะใช้เทคโนโลยีนี้คือรถยนต์รุ่น FCB Bao 8 SUV ต่อมาที่งาน Chengdu Auto Show ปี 2024 โดย Xiong Tianbo ผู้จัดการทั่วไปของ BYD FCB กล่าวต่อไปว่ารถยนต์ FCB อื่นๆ จะมีการติดตั้งโซลูชันการขับขี่อัจฉริยะของ Huawei ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย นอกเหนือจาก FCB Bao 8 แล้ว นอกจากนี้ทาง BYD ยังระบุว่าจะใช้กลยุทธ์ในการวางแผนการขับขี่อัจฉริยะแบบโดยรวมคือเป็นการร่วมมือแบบเปิดและการวิจัยอย่างอิสระเพื่อเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า Wang Chuanfu ซีอีโอของ BYD ปัจจุบันมองว่าการขับขี่อัจฉริยะมีความสำคัญสูงสุด ตามที่ Yang Dongsheng ผู้จัดการทั่วไปของ BYD Intelligent Driving กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ
ในส่วนของการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Xiong Tianbo เปิดเผยว่า FCB จะผลิตรถ SUV สำหรับการขับขี่ในเมืองอีกด้วย เช่น รถเก๋ง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากรถ SUV แบบฮาร์ดคอร์ก็จะเริ่มจาก Bao 3 เป็นต้นไป โดยทางแบรนด์ FCB จะเปิดข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาเวอร์ชันใหม่ และรถยนต์ซีรีส์ใหม่ที่จะมีการติดตั้งระบบในรถยนต์ขนาดใหญ่เท่านั้นในอนาคต ในขณะที่รถยนต์รุ่นใหม่จากแบรนด์ FCB ก็จะถูกสร้างด้วย IP หลายโมเดลด้วยเช่นกัน
สำหรับข้อมูลเบื้องต้น FCB Bao 5 series โฉมปัจจุบัน ที่วางจำหน่ายมีราคาอยู่ที่ 239,800 – 302,800 หยวน หรือประมาณราวๆ (1.1 – 1.4 ล้านบาท) โดย Bao 5 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกของแบรนด์ FCB เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2566 และในเดือนกันยายน Bao 5 มียอดขายกว่า 5,422 คัน ส่งผลให้ยอดขายสะสมอยู่ที่ 36,135 คัน กันเลยทีเดียว
ที่มา: carnewschina.com
